#เดินหน้าต่อการปลดล็อกพืชกระท่อมที่เป็นธรรม
#หยุดกฎหมายลักหลับประชาชน
เมื่อวานมีการประชุมคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร เรื่องแนวทางกัญชา กัญชง กระท่อม และพืชเศรษฐกิจใหม่ โดยเชิญกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาให้ข้อมูล
ที่ประชุมมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขาง พอสรุปได้ดังนี้
1.#กัญชา ยังเป็นยาเสพติด ใช้ประโยชน์จาก THC และ CBD การปลูกต้องรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน และต้องขออนุญาตจาก อย.รวมทั้งการทำ MOU กับสถาบันทางวิชาการที่ทำวิจัยเรื่องกัญชา และกระทรวงสาธารณสุข
แต่ที่ชุมชุมได้ตั้งข้อสังเกตว่า ประชาชนไม่เข้าถึง บางส่วนไม่เข้าใจ บางคนถูกจับเพราะเข้าใจผิดว่าปลูกได้บ้านละ 6 ต้นโดยไม่ต้องขออนุญาต ขั้นตอนยุ่งยาก และดูเหมือนจะเอื้อให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ การประชุมครั้งหน้าจะเชิญกระทรวงสาธารณสุขและ อย.มาให้ข้อมูล
2.#กัญชง ไม่ได้เป็นยาเสพติด ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากเส้นใย และสกัดสาร CBD ขั้นตอนคล้ายข้อ 1 แต่ไม่ต้องขออนุญาตจาก อย.และต้องทำโรงเรือน เพราะกัญชง กัญชา จะดูดสารพิษได้ดี จึงต้องเตรียมดินที่ปลอดภัย และจำกัดปริมาณน้ำ การปลูกกลางแจ้ง ปริมาณ THC จะมากขึ้น จะเข้าข่ายกัญชา ผิดกฎหมายอีก แต่กรณีใช้ประโยชน์จากเส้นใย ผมมีความเห็นส่วนตัวว่าไม่จำเป็นต้องสร้างโรงเรือนให้ยุ่งยากและมีต้นทุน
3.#พืชกระท่อม ผมเป็นคนอภิปราย โดยชี้แจงว่า กระท่อม กำลังจะถูกปลดล็อกจากยาเสพติดในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 แต่ตอนนี้มี พ.ร.บ.พืชกระท่อม กำลังอยู่ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
เท่าที่ผมดูร่างอย่างคร่าว มีความกังวล ว่าข้อกำหนดและบทบัญญัติ พ.ร.บ.พืชกระท่อมจะมีปัญหาคล้ายกัญชา ทั้งๆที่ไม่ใช่ยาเสพติด คือขั้นตอนการควบคุมที่ยุ่งยาก จนประชาชนเข้าไม่ถึง เอื้อผลประโยชน์ให้นายทุน โดยกำหนดให้เขียนเป็นกฎกระทรวงยุติธรรม ซึ่งไม่รู้ว่าในอนาคตจะเขียนอย่างไร เพราะการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ นำมาซึ่งการทุจริตและการแสวงหาผลประโยชน์ บนความทุกข์ของพี่น้องประชาชน
ดังนั้นผมมีข้อเสนอว่า พ.ร.บ.พืชกระท่อม ต้องมีบทบัญญัติที่ชัดเจน กรณีให้เป็นกฎกระทรวง ก็แค่เป็นเรื่องของขั้นตอนและรายละเอียด
1.ให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมวิถีวัฒนธรรม คือการเคี้ยว หรือการหวนท่อมแบบวิถีชาวบ้าน และการแปรรูปขั้นต้นแบบวิถีชาวบ้าน โดยไม่มีความผิด
2.การใช้ประโยชน์ตามข้อ 1 ให้ปลูกได้บ้านละไม่เกิน 3 ต้น โดยไม่ต้องขออนุญาต เป็นการเปิดเสรีจะไปควบคุมทำไม ในเมื่อกระท่อมไม่ใช่ยาเสพติด
3.ให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ข้อ 1 แบบวิถีชาวบ้าน ด้วยการแปรรูปขั้นต้น เช่น ต้ม การกลั่นสกัด ทำผงหรือแคปซูล เพื่อใช้ประโยชน์สรรพคุณทางยา เพราะกรณีผู้หญิง ไม่นิยมเคี้ยว เพื่อรักษาโรคเบาหวาน ความดันและอื่นๆ
4.มีบทกำหนดโทษ กรณีการนำพืชกระท่อมไปต้มผสมกับยาเสพติดอื่นเช่น ยาแก้ไอ ที่มีโคเดอีน อนุพันธ์ของฝิ่น แต่ถ้านำไปต้มผสมกับสารอื่นที่ไม่ใช่ยาเสพติดก็ไม่มีความผิด
5.มีการกำหนดมาตรการป้องกันการใช้พืชกระท่อม ในกรณีของเยาวชน
6.การใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมเชิงพาณิชย์ ให้เกษตรกรรวมกลุ่มจดทะเบียน ขออนุญาตแปรรูปเป็นสมุนไพรป้องกันและรักษาโรค ขออนุญาตตั้งโรงงาน ขออนุญาตการจำหน่ายและการส่งออก โดยกรณีนี้กลุ่มทุนก็สามาถทำได้ เสมอภาคกัน
#การขับเคลื่อนเพื่อสร้างรายได้ในพืชเศษฐกิจใหม่ประชาชนต้องเข้าถึง
กราบขอบพระคุณท่านประธานคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ ส.ส.กันตวรรณ ตันเสถียร พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีวิสัยทัศน์และชุดความคิดที่ก้าวหน้า เพื่อความเสมอภาคของประชาชน
สุนทร รักษ์รงค์
ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์
สภาผู้แทนราษฎร
9 กรกฎาคม 2564